Skip to main content

เมียนมา: การเลือกตั้งเป็นข้ออ้างจอมปลอมเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ

รัฐบาลต่างประเทศควรปฏิเสธกระบวนการเลือกตั้งจอมปลอม ประณามการปฏิบัติมิชอบ

ป้ายโฆษณาหัวหน้าพรรคสหสามัคคีและการพัฒนา (Union Solidarity and Development Party: USDP) ซึ่งเป็นพรรคที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทัพเมียนมา ก่อนฤดูหาเสียงและการเลือกตั้งของรัฐบาลทหาร ในกรุงย่างกุ้ง 27 ตุลาคม 2568 © 2025 STR/AFP via Getty Images

(กรุงเทพฯ) – รัฐบาลต่างประเทศควรปฏิเสธแผนของรัฐบาลทหาร เมียนมาที่จะจัดการเลือกตั้งในช่วงปลายเดือนธันวาคม 2568 จนถึงมกราคม 2569 เพราะเป็นการเลือกตั้งที่ไม่เสรี ไม่เป็นธรรม หรือไม่มีส่วนร่วม ฮิวแมนไรท์วอทช์กล่าวในวันนี้ นับแต่การทำรัฐประหารเดือนกุมภาพันธ์ 2564 รัฐบาลทหารได้บ่อนทำลายหลักนิติธรรมและโครงสร้างประชาธิปไตยที่เพิ่งเริ่มพัฒนาอย่างเป็นระบบ และก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง พวกเขายิ่งเร่งการปราบปรามและการใช้ความรุนแรง

รัฐบาลทหารประกาศที่จะจัดให้มีการเลือกตั้งในช่วงสองเฟสแรก เริ่มตั้งแต่วันที่ 28 ธันวาคม และ 11 มกราคม นับแต่การทำรัฐประหาร รัฐบาลทหารได้สั่งยุบพรรคการเมืองหลายสิบพรรค และคุมขังนักโทษการเมืองประมาณ 30,000คน รวมทั้งยังควบคุมตัวบุคคลเกือบ 100 คนโดยใช้กฎหมายเลือกตั้งที่มีบทลงโทษรุนแรง และมีการประกาศใช้เมื่อเดือนกรกฎาคม พลเอกอาวุโส มินอ่องหล่าย หัวหน้ารัฐบาลทหาร ได้กล่าวยอมรับว่า จะไม่มีการเลือกตั้งในทุกอำเภอ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่ายังคงมีการสู้รบอย่างกว้างขวางกับกลุ่มติดอาวุธฝ่ายต่อต้าน ในสงครามที่มีลักษณะเป็นอาชญากรรมสงคราม

“การเลือกตั้งจอมปลอมของรัฐบาลทหารเมียนมา เป็นการดิ้นรนที่จะเรียกร้องความชอบธรรมจากนานาประเทศ หลังการปราบปรามของทหารอย่างโหดร้ายเกือบห้าปีที่ผ่านมา” อีเลน เพียร์สันผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชีย ฮิวแมนไรท์วอทช์กล่าว “การที่รัฐบาลแสงดความเชื่อมั่นใด ๆ ต่อการเลือกตั้งครั้งนี้ ย่อมเป็นการส่งสัญญาณว่าจะไม่สนับสนุนการดำเนินงานเพื่อให้เกิดระบอบประชาธิปไตยที่เคารพสิทธิของพลเรือนในเมียนมา”

ในวันที่ 29 กรกฎาคม รัฐบาลทหาร ประกาศใช้ กฎหมายเพื่อป้องกันการขัดขวาง การก่อกวนและการโจมตีการเลือกตั้งทั่วไปแบบหลายพรรคในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งเป็นกฎหมายที่เอาผิดทางอาญากับการวิพากษ์วิจารณ์การเลือกตั้ง รวมทั้งการสั่งห้ามการแสดงความเห็นใด ๆ การรวมตัวจัดตั้ง หรือการประท้วง ซึ่งส่งผลกระทบต่อกระบวนการเลือกตั้ง ผู้กระทำผิดอาจได้รับโทษจำคุกไม่เกิน 20 ปี และอาจได้รับโทษประหาร

รัฐบาลทหารยังได้ จับกุมบุคคล 94 คนโดยใช้อำนาจตามกฎหมายใหม่นี้นับแต่เดือนสิงหาคม รวมทั้งการจับกุมเด็ก 4 คน เนื่องจากการโพสต์โซเชียลมีเดีย การแจกจ่ายสติกเกอร์และใบปลิว การปราศรัย และ การกระทำตามข้อกล่าวหาอื่นใด ที่เป็น “การแทรกแซง” และ “ก่อกวน” การเลือกตั้ง ในวันที่ 9 กันยายน ศาลตัดสินให้ชายคนหนึ่งถูกเกณฑ์ไปใช้แรงงานหนักเป็นเวลาเจ็ดปีที่เมืองตองจี รัฐฉาน เนื่องจากการโพสต์เฟซบุ๊กวิจารณ์รัฐบาลทหาร ในวันที่ 29 ตุลาคม แซม บู ตุน ผู้กำกับหนัง เต็ด ลวิน และ อ่อง ชาน ลู ถูกจับเนื่องจากไปกด “ไลก์” ข้อความในเฟซบุ๊กที่วิจารณ์หนังโฆษณาชวนเชื่อเกี่ยวกับการเลือกตั้ง

ทางการได้ควบคุมตัวบุคคลเกือบ 2,000 คนตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2565 เนื่องจากการโพสต์ออนไลน์เพื่อสนับสนุนฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล หรือวิจารณ์กองทัพ โดยเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินงานของรัฐบาลทหาร เพื่อบ่อนทำลายเสรีภาพในการแสดงความเห็น เสรีภาพสื่อ และเสรีภาพในการชุมนุม 

กองทัพไม่มีอำนาจควบคุมดินแดนมากเพียงพอที่จะจัดการเลือกตั้งที่น่าเชื่อถือได้ เนื่องจากดินแดนจำนวนมากของประเทศอยู่ระหว่างการสู้รบ หรือถูกครอบครองโดยฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล ฮิวแมนไรท์วอทช์กล่าว การทำสำมโนประชากรระดับชาติเมื่อเดือนตุลาคม 2567 เพื่อจัดทำบัญชีผู้มีสิทธิเลือกตั้ง เกิดขึ้นในเพียง 145 จาก 330 อำเภอของประเทศ หรือเพียงไม่ถึงครึ่งหนึ่ง คณะกรรมการการเลือกตั้งแห่งสหภาพประกาศเมื่อเดือนกันยายนว่า จะไม่มีการเลือกตั้งใน 56 อำเภอที่ถือว่า “ไม่สามารถจัดการเลือกตั้งได้” โดยการเลือกตั้งทั้งสองเฟสที่ประกาศมาแล้วนี้ ครอบคลุมเพียง 202 อำเภอ 

ความพยายามของรัฐบาลทหาร ที่จะแย่งคืนดินแดน จากกลุ่มติดอาวุธฝ่ายต่อต้านก่อนจะมีการเลือกตั้ง ส่งผลให้มีการโจมตีทางอากาศอย่างต่อเนื่องต่อพลเรือนและโครงสร้างของพลเรือน ซึ่ง มีลักษณะเป็นอาชญากรรมสงคราม จีนและรัสเซีย ซึ่งเป็นผู้จัดส่งเครื่องบินและอาวุธหลักให้กับรัฐบาลทหาร ต่างประกาศสนับสนุนการเลือกตั้งครั้งนี้ โดยทั้งสองประเทศให้ความสนับสนุนรัฐบาลทหารมายาวนาน ทั้งยังออกเสียงคัดค้านมาตรการระหว่างประเทศเพื่อจัดการกับความทารุณของกองทัพในที่ประชุมของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ

การปฏิบัติมิชอบของกองทัพและการสู้รบที่ยืดเยื้อ ส่งผลให้มีผู้พลัดถิ่นในประเทศกว่า 3.5 ล้านคน และส่งผลให้ประชาชนประมาณ 20 ล้านคนต้องการความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม สื่อระหว่างประเทศและภาคประชาสังคมรายงานว่า หน่วยงานของรัฐบาลทหารกดดันให้ผู้พลัดถิ่นและนักโทษต้องไปออกเสียงเลือกตั้ง รวมทั้งมีการตั้งด่านตรวจเพิ่ม และเพิ่มการสอดแนมทางดิจิทัล

การรัฐประหารปี 2564 เป็นการหยุดยั้งและจำกัดการเปลี่ยนผ่านสู่ระบอบประชาธิปไตย ภายใต้การนำของพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (NLD) ของอองซานซูจี ในระหว่างการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2563 พรรค NLD ชนะเลือกตั้งได้สส.เป็นสัดส่วน 82% เป็นชัยชนะอย่างถล่มทะลายเหนือพรรคสหสามัคคีและการพัฒนา (USDP) ซึ่งเป็นตัวแทนของทหาร กองทัพได้ตอบโต้ด้วยการกล่าวหาว่ามีการโกงการเลือกตั้งอย่างกว้างขวาง ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาที่ปราศจากมูลความจริง และได้รับการโต้แย้งจาก คณะกรรมการการเลือกตั้งแห่งสหภาพ และ ผู้สังเกตการณ์การเลือกตั้ง จากในและระหว่างประเทศ

เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 ขณะที่กำลังจะมีการเปิดประชุมรัฐสภาเป็นครั้งแรก กองทัพได้ควบคุมตัวประธานาธิบดีวิน มยินต์, อองซานซูจี และรัฐมนตรีของพรรค NLD อีกหลายคน รวมทั้งสมาชิกรัฐสภาและผู้บริหารระดับภูมิภาค เป็นการปิดกั้นสิทธิของประชาชนชาวเมียนมาในการเลือกตั้งรัฐบาลของตนเอง ซึ่งเป็นสิทธิตามกฎหมายระหว่างประเทศ 

หลายเดือนหลังการรัฐประหาร รัฐบาลทหารจับกุมรัฐมนตรีและสมาชิกรัฐสภาอย่างน้อย 197 คน และจับกุมเจ้าหน้าที่คณะกรรมการการเลือกตั้งแห่งสหภาพ 154 คน ซูจีและวิน มยินต์ถูกศาลตัดสินจำคุก 27 ปี และ 8 ปีตามลำดับ ในข้อหาที่กุขึ้นมาหลายข้อหา

ในเดือนมกราคม 2566 รัฐบาลทหารประกาศใช้กฎหมายจดทะเบียนพรรคการเมืองฉบับใหม่ ที่ถูกออกแบบมาเพื่อตัดสิทธิ ของสมาชิกอาวุโสของพรรค NLD หลายคน ทำให้ลงเลือกตั้งไม่ได้ เป็นการละเมิดมาตรฐานระหว่างประเทศว่าด้วย สิทธิของพรรคการเมือง ที่จะรวมตัว และสิทธิของผู้สมัครที่จะลงเลือกตั้ง ในเดือนมีนาคมปีเดียวกัน รัฐบาลทหาร ประกาศยุบพรรค NLD และพรรคการเมืองและกลุ่มการเมืองอีก 40 กว่าพรรค เนื่องจากไม่ได้จดทะเบียนตามกฎหมายใหม่ รัฐบาลทหารยังได้สั่งยุบพรรคการเมืองเพิ่มอีกสี่พรรคในเดือนกันยายน 2568 เนื่องจากขาดคุณสมบัติตามกฎหมาย 

ก่อนหน้านี้ รัฐบาลทหารประกาศให้รัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ (NUG) และคณะกรรมการผู้แทนสมัชชาแห่งสหภาพ ซึ่งทำหน้าที่เป็นรัฐสภา เป็น “องค์กรก่อการร้าย” กลุ่มต่อต้านได้ประกาศชัดเจนว่า จะต่อต้านการเลือกตั้งภายใต้รัฐบาลทหาร

หลังการรัฐประหาร รัฐบาลทหารได้ประกาศยุบคณะกรรมการการเลือกตั้งแห่งสหภาพ และได้ตั้งคณะกรรมการชุดใหม่ของกองทัพขึ้นมา สหภาพยุโรปประกาศ คว่ำบาตรถั่น โซ ประธานคณะกรรมการคนปัจจุบัน ซึ่งได้รับการแต่งตั้งเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2568 และยังคว่ำบาตรคณะกรรมการที่แต่งตั้งโดยรัฐบาลทหารคนอื่น เนื่องจาก “มีส่วนร่วมโดยตรงในปฏิบัติการซึ่งบ่อนทำลายประชาธิปไตยและหลักนิติธรรมในเมียนมา” ก่อนการรัฐประหาร ถั่น โซ เป็นผู้นำวุฒิสภาฝ่ายทหารในรัฐสภา ภายใต้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2551 กองทัพสามารถแต่งตั้งสมาชิกรัฐสภาได้ในสัดส่วน 25% 

ในวันที่ 31 กรกฎาคม เพื่อเป็นการเตรียมตัวก่อนเลือกตั้ง รัฐบาลทหารประกาศจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อความมั่นคงและสันติภาพแห่งรัฐ เพื่อทำหน้าที่แทนสภาบริหารแห่งรัฐ ซึ่งถูกจัดตั้งขึ้นมาหลังการรัฐประหาร ทั้งยังประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินและกฎอัยการศึกอีกครั้งใน 63 อำเภอในรัฐชิน คะฉิ่น กะเหรี่ยง (กะยิน) คะเรนนี (กะยาห์) ยะไข่ และฉาน และในภาคมะก่วย มัณฑะเลย์ และสะกาย และต่อมาได้ขยายเวลาออกไปอีก 90 วันเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม คำสั่งดังกล่าวซึ่งมีผลโดยตรงต่ออำเภอต่าง ๆ ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของฝ่ายต่อต้าน เป็นการผ่องถ่าย “อำนาจและความรับผิดชอบเหนืออำเภอดังกล่าวให้กับผู้บัญชาการทหารสูงสุด”

ในเดือนพฤศจิกายน 2567 พนักงานอัยการของศาลอาญาระหว่างประเทศ ได้ขอให้มีการออกหมายจับผู้บัญชาการทหารสูงสุดมินอ่องหล่าย ในข้อหาอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ เนื่องจากเหตุการณ์ในปี 2560 

รัฐบาลทหารได้หาทางปราบปรามฝ่ายต่อต้านทางการเมืองทุกกลุ่ม ขัดขวางการดำเนินงานใด ๆ เพื่อสถาปนาระบอบประชาธิปไตยของพลเรือน และพยายามสร้างความชอบธรรมให้กับรัฐที่อยู่ภายใต้การควบคุมของกองทัพ ฮิวแมนไรท์วอทช์กล่าว ทั้งยังมีการดำเนินงานเพื่อให้การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นชัยชนะสำคัญของพรรค USDP ที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทัพ แม้ว่าช่วงเวลาหาเสียงอย่างเป็นทางการ 60 วันจะเริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 28 ตุลาคม และพรรคการเมืองที่เป็นตัวแทนของกองทัพก็ได้เริ่ม การรณรงค์หาเสียงแล้ว มีรายงานว่า รัฐบาลทหารยังคงสั่งห้ามไม่ให้มีการเดินขบวนเพื่อหาเสียง 

ในระหว่าง การประชุมสุดยอดเมื่อเดือนตุลาคม ของสมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ASEAN) อังตอนียู กูแตรึช เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ เรียกร้อง ให้มี “แนวทางที่น่าเชื่อถือเพื่อรื้อฟื้นระบอบปกครองของพลเรือน” ในเมียนมา โดยระบุว่า “ผมไม่คิดว่าจะมีใครเชื่อว่า การเลือกตั้งครั้งนี้จะเกิดขึ้นอย่างเสรีและเป็นธรรม” โวลเตอร์ เติร์ก ข้าหลวงใหญ่ด้านสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ บอกว่า การจัดการเลือกตั้งในเดือนธันวาคม “เป็นเรื่องที่เข้าใจไม่ได้เลย”

ในขณะที่อาเซียน ย้ำว่าต้องมีการเจรจาด้านสันติภาพและการเมือง “ก่อนจะมีการเลือกตั้ง” แต่หน่วยงานระดับภูมิภาคดังกล่าวก็ไม่มีเครื่องมือที่จะขัดขวางไม่ให้รัฐภาคีใด ๆ ให้ความช่วยเหลือ หรือความสนับสนุนทางเทคนิคในระดับทวิภาคีต่อการจัดเลือกตั้งครั้งนี้ได้

“รัฐบาลมาเลเซีย ญี่ปุ่น และรัฐบาลในเอเชียอื่น ๆ ที่ประกาศชัดเจนว่า การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นอันตรายต่อประชาชนชาวเมียนมา ควรกระตุ้นให้ประเทศเพื่อนบ้านประกาศเช่นเดียวกัน” เพียร์สันกล่าว “เพื่อตอบโต้กับความสนับสนุนจากจีน รัสเซีย และประเทศอื่น ๆ ที่ช่วยเหลือการเลือกตั้งครั้งนี้ เราจำเป็นต้องส่งสัญญาณที่ชัดเจนและหนักแน่นว่า การเลือกตั้งที่ไม่ชอบธรรมจะยิ่งทำให้เมียนมาเข้าสู่วงจรความรุนแรง การกดขี่ และระบอบเผด็จการมากยิ่งขึ้น” 

Your tax deductible gift can help stop human rights violations and save lives around the world.

Region / Country